คำหวาน
เรื่องราวอันแสนสั้นที่สั้นจริงๆจนขึ้นชื่อว่าสั้นในเรื่องสั้นเพราะมันสั้นมากๆจนคิดว่าสั้นขนาดนี้จะเป็นเรื่องสั้นได้ยังไงแต่ว่ามันก็สั้นสมชื่อเพราะฉะนั้นนี่คือเรื่องสั้นที่สั้นๆแต่สนุกจ้า!! 555+
ผู้เข้าชมรวม
296
ผู้เข้าชมเดือนนี้
11
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
วันนี้เป็นวันปิดเทอมวันแรกสำหรับโรงเรียมใหม่.. ช่างเป็นวันที่สดชื่นแจ่มใสดีจริงเลย!!
เราสูดหายใจลึกให้อากาศเข้าเต็มปอด..
เราแต่งกายอย่างเรียบร้อยตามระเบียบที่เขากำหนดเอาไว้ให้ตั้งแต่หัวจรดเท้าเพื่อเป็นการสร้างสัมพันธภาพที่ดีต่อคุณครูแสนโหด.. ถ้าเกิดสร้างได้ดีละก็ วันต่อๆไปก็สบาย
” “และเพื่อเป็นศิริมงคลในการดำรงชีวิตอยู่ในโรงเรียน” เราหัวเราะคิกอย่างซุกซนแล้วคาบขนมปังที่ถืออยู่ในมือพร้อมวิ่งเข้าโรงเรียน “มันต้องคาบขนมปังเข้าไปซี่!!
เมื่อได้เดินมาถึงประตูโรงเรียนแล้ว เราก็ถึงกับอ้าปากค้างจนขนมปังหลุดออกจากปาก โชคดีที่มือของเรามันไวซะจนรับขนมปังนั้นได้ทัน
ประตูเป็นโลหะเงางามที่ออกแบบอย่างสวยงามไม่แพ้คฤหาสน์หรูๆเลยทีเดียว เรากลืนน้ำลายเอื๊อก ‘แบบนี้.. ค่าเทอมจะเท่าไหร่กันนะ..’ เราคิด
‘ไม่ได้สิ’ เราสะบัดหน้าไปมา ‘ก็ในเมื่อเราสอบได้ทุนเรียนฟรีที่นี่นี่นา!!’
เราค่อยๆเดินเข้าไปในประตูของรั้วโรงเรียนอย่างระวัง
สายตาของยามคนนั้นที่มองมาที่เรามันหมายความว่าไงน่ะ? เราก็แต่งตัวถูกระเบียบดีแล้วนี่!! มองตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วแค่นหัวเราะอย่างสมเพศออกมา หมายความว่ายังไง!!
“เอ่อ..” เรายิ้มฝืนๆ “ยินดีที่ได้รู้จักค่า.. ลุงยาม”
ลุงยามหันมามองเราอีกครั้ง “เด็กที่สอบได้ทุนเรียนฟรีละสินะ”
“เอ่อ..ค่ะ”
“ฮึ” ลุงยามแค่นหัวเราะอีกครั้งอย่างหยิ่งผยอง ทำเอาหางคิ้วเรากระตุก นี่ถ้านี่เป็นโรงเรียนเก่าของเราละก็.. ป่านนี้ลุงยามคนนี้ได้ไปนอนเกลือกกลิ้งสบายๆบนพื้นแล้ว!!
ใช่ เราคือเด็กที่สอบได้ทุนเรียนฟรีที่นี่ จากเดิมที่ไม่มีเงินจะเรียนในที่ดีๆ ได้แต่เรียนโรงเรียนวัดโดยมีปู่กับย่าคอยดูแล ฮึ่มมม..ม.. อะไรมันจะหยามเกียรติกันขนาดนี้นะ!!
เราหันไปมองหน้าลุงยามคนนั้นอีกครั้ง พร้อมทั้งกระตุกยิ้มมุมปาก “งั้นหรอคะ.. ถ้าอย่างนั้น.. ตอนที่ลุงอายุเท่าหนู.. ลุงทำอะไรอยู่?”
ลุงยามคนนั้นชะงักกึกทันที ..ดูท่าทาง.. คงจะพูดอะไรไม่ออกแล้วสินะ..
“ถ้าอย่างนั้น..” เราหัวเราะหึหึพร้อมทั้งเดินเข้าไปในโรงเรียนทันที “หนูเข้าเรียนก่อนละ..”
เวลาต่อมา เราก้มลงไปมองนาฬิกาข้อมือเครื่องแบบของโรงเรียนนี้ เขาจะมีให้เลือกอยู่หลายอันตอนที่ลงทะเบียนรับชุดนักเรียน แต่ละอันนั้นหรูหรามากซะจนเรารับไม่ได้.. โชคดีที่เค้ามีให้เลือกด้วยละ ทุกคนต้องมีคนละอันเพื่อความเป็นระเบียบและตรงต่อเวลา เราเลือกอันที่หน้าปัดเป็นทองและเงิน สายรัดเป็นหนังสีดำอย่างดี ก็ช่วยไม่ได้นี่นา.. รู้สึกมันจะเรียบง่ายที่สุดแล้ว.. อันที่จริงตอนแรกก็นึกว่ามันคือทองเหลืองกับอลูมิเนียมละนะ แต่พอเลือกแล้วเค้าบอกว่าทองกับเงินเนี่ย.. แทบเป็นลมเลย แต่ก็ช่างมันเถอะ 55+
ตอนนี้ก็.. ยังไม่ 6 โมงเช้าเลย’ เราคิด ‘ตอนนี้ก็ยังมืดๆอยู่ ถ้างั้นก็ไปเดินเล่นก่อนแล้วกัน’ ‘
โรงเรียนนี้มันกว้างและใหญ่โอ่อ่าและหรูหราสุดๆ อะไรๆก็สวยงามไปหมด.. จริงสินะ เรามันเป็นพวกที่ชินกับความมืดแล้วนี่ ไม่ต้องใช้ไฟส่องทางก็เห็นแล้ว สบายๆเลยละ..
เราเดินเข้าไปเรื่อยๆก็ยิ่งลึก..ยิ่งลึก.. จนรู้ตัวว่าตัวเองนั้นหลงทางซะแล้ว!!
” เราวิ่งไปทั่วพร้อมทั้งมองหาคนที่เดินผ่านไปมาแต่กลับไม่มีเลย เราค่อยๆเดินไปนั่งบนก้อนหินขนาดใหญ่พร้อมทั้งหอบหายใจอยู่พักหนึ่ง “เหนื่อยชะมัด..” “ซวยแล้วมั้ยละ!!
อู.. อูอูอูอู.. อู......อู อูอู] [
จู่ๆก็มีเสียงแปลกๆจากที่ไกลๆดังเข้ามากระทบหู เราหันขวับทันที ‘เอ๊ะ.. นี่มัน!!’
[แอ๊ด...ด...ด...] เสียงจากประตูไม้เก่าๆที่ถูกผลักออกดังขึ้นช้าๆ
หญิงสาวที่อายุราวๆ 16-17 ปีละสายตาจากการปรับสายตามามองบุคคลที่เปิดประตูเข้ามา
“เอ่อ..” เรามองไปรอบๆ “เราเข้าไปได้ไหม?”
เธอยิ้มให้อย่างอ่อนโยนและพยักหน้า เรายิ้มอย่างโล่งอก ยกมือไหว้ห้องนั้นแล้วเดินเข้ามา
เราเดินไปนั่งข้างๆพี่คนนั้น “ดีใจจังเล้ยย นึกว่าทุกคนที่นี่จะนิสัยห่วยแตกอย่างลุงยามคนนั้นนะเนี่ยยย”
พี่คนนั้นหัวเราะคิก “นั่นสินะ.. ที่นี่เป็นโรงเรียนของพวกคนรวยนี่นา.. พวกที่ชอบหยิ่งน่ะ ก็มีเยอะแยะไป..”
“อ่า?” เรามองหน้าพี่อย่างสงสัย
ดูเหมือนพี่คนนั้นจะอ่านความคิดของเราออกจึงตอบออกมาก่อนที่เราจะถามอะไร “น้องคงจะเป็นเด็กที่สอบทุนได้เรียนฟรีใช่ไหม.. ดูท่าจะเก่งไม่เบานะ”
เราเกาหัวแกรกๆ “แหะๆ ก็ไม่ถึงขนาดน้านน”
“พี่น่ะ..” พี่คนนั้นยิ้มให้ “เป็นเด็กที่อาจาย์ใหญ่โรงเรียนนี้เก็บมาเลี้ยง.. ด้วยความที่เขารักพี่มาก เขาเลยส่งให้พี่เรียนดีๆ อยู่ดีกินดี แต่พี่ก็ยังรู้ตัวดีอยู่ตลอดว่าไม่ใช่ลูกแท้ๆ..”
“ถ้างั้นพี่ก็ไม่เคยเห็นหน้าพ่อกับแม่เลยหรอคะ” เราถาม ดูเหมือนเรากับพี่คนนี้ช่างมีอะไรที่คล้ายกันจริงๆ
พี่คนนั้นพยักหน้า “แต่เพราะรู้ว่าไม่ใช่ลูกแท้ๆ.. ถึงได้ต้องพยายามไงละ จะต้องพยายามให้มากกว่าคนอื่นทั่วไปถึง 2 เท่า เพื่อตอบแทนพระคุณให้ได้..”
“เราก็คงจะเหมือนกัน..” เราเริ่มเล่าประวัติของตัวเองให้พี่เขาฟัง “พ่อของเราตายตั้งแต่เรายังไม่เกิด และพอเราเกิดแม่ก็ตาย.. ทั้งชีวิตอยู่แต่กับปู่แล้วก็ย่า.. ตากับยายก็ตายไปแล้วด้วย..”
“งั้นหรอ..” พี่คนนั้นถอนหายใจ “เอาละ.. พี่ชื่อรุจร ยินดีที่ได้รู้จักนะ”
เรายิ้ม “เราชื่อปาง ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่า”
“จริงสิ” เรากล่าวขึ้น “พี่รุจรเล่นซอให้ฟังซักเพลงได้มั้ยคะ”
พี่รุจรยิ้ม “แน่นอน..” จากนั้น เธอก็เริ่มเล่นซออู้ทันที
‘เพลงคำหวานดังขึ้นราวกับว่าเป็นเสียงกระซิบจากคนที่รักอย่างไรอย่างนั้น..’
..ความอ่อนโยนที่ละเมียดละไม.. ความรักที่มอบให้อย่างบรรจง.. จนทำให้เรารู้สึกราวกับว่าตัวเองนั้นหลุดไปอยู่อีกโลกหนึ่งเลยทีเดียว..
..โลกที่มีแต่ความรักอันอ่อนหวาน..
ไม่มีความป่าเถื่อนและหึงกันอย่างรุนแรง แต่เป็นโลกที่ตั้งใจจะมอบความรักให้กับคนคนนั้นโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน มีเสียงที่หวานหอมลอยมาตามลม.. เป็นเสียงแห่งการพรรณนาถึงบุคคลที่ตนรักโดยความบริสุทธิ์ใจอย่างถ่องแท้..
จนกระทั่งน้ำตาของผู้ฟังไหลลงเป็นสายอย่างไม่รู้ตัวจนกระทั่งเพลงบรรเลงจนจบ
พี่รุจรยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ “เป็นอะไรรึเปล่า?”
เราสะดุ้งเล็กน้อยและนิ่งค้างอยู่นาน ก่อนจะค่อยๆรับมาซับน้ำตาช้าๆและยิ้มอย่างอารมณ์ดี “เก่งสุดยอดไปเลย!!”
พี่รุจรเกาแก้มเบาๆ “ก็ไม่ได้เก่งอะไรขนาดนั้นหรอกนะ..” และเธอก็มองออกไปที่ผนังห้องที่อยู่ด้านตรงข้ามกับประตูซึ่งเป็นเพียงกระจกใสธรรมดา “แต่ก็แค่.. นึกถึงใครบางคนขึ้นมา..”
พี่รุจรถอนหายใจออกมาเบาๆ “นานมากแล้ว.. ที่เราไม่ได้เจอกัน..”
เรามองพี่รุจรอย่างไม่กระพริบตา ‘ความรัก..?’
พี่รุจรหัวเราะออกมาเบาๆแล้วลุกขึ้น “เดี๋ยวพี่มานะ.. พี่ขอไปหยิบหนังสือก่อน.. เปิดเทอมวันแรกก็ต้องอัดความรู้เข้าสมองเยอะๆหน่อยนี่นะ” เธอยิ้ม
เราหัวเราะ “ค่า..”
เมื่อพี่รุจรออกไปแล้ว เราก็ยกมือไหว้ซออู้คันนั้นแล้วค่อยๆหยิบมันขึ้นมา
‘คำหวานงั้นหรอ..’ เราคิด ‘อันที่จริงเราก็เคยเล่นอยู่นะ..’
“เฮ้ย! พอเลิกเรียนจะไปไหนกันดีวะ!?” เสียงเอะอะอึกทึกครึกโครมดึงมาจากตึกทางด้านซ้ายมือจากหลังห้องดนตรีไทย ด้วยความที่ว่าผนังห้องเป็นกระจกใสจึงมองเห็นได้อย่างชัดเจน
มีกลุ่มเด็กนักเรียนชายอายุประมาณ 12-14ปี เดินออกมากันเป็นกลุ่ม
“นี่ยังไม่เริ่มเรียนเล้ย!! คิดแต่จะเที่ยวอย่างเดียวเลยรึไงไอ้นี่นิ” ชายคนที่สองหัวเราะลั่น
“โดดเลยมั้ยพวก?” ชายคนที่สามหัวเราะเสียงน่ากลัว
“โธ่ พวกนาย” ชายคนที่สี่ถอนหายใจเฮือก “มาวันแรกก็จะก่อวีรกรรมซะแล้วรึไง?”
“อันที่จริง” ชายคนที่ห้าเดินสบายๆตามมา “พวกเราก็ต่อยกับแทบจะทุกวัน.. ครูเค้าก็ชินแล้วละนะ..”
“โดดเรียนแค่วันเดียว ไม่เป็นไรมั๊ง” ชายคนที่หกเคี้ยวหมากฝรั่งอย่างเอร็ดอร่อยก่อนจะเป่าออกมาเป็นลูกกลมๆ ก่อนจะอ้าปากกัดจนมันแตกโผละ “ก็ลอกเพื่อนเอา ไม่เห็นจะยากเลยนี่นา..”
“พวกเราคืออนาคตของชาติ..” ชายคนที่เจ็ดขยับแว่น “ก็ควรจะทำหน้าที่เรียนรู้ให้ดีที่สุด.. เมื่อถึงวันนั้น เราก็จะทำอะไรได้มากมายเลยละ..”
“โห่!!!!!” เสียงโห่ร้องดังก้องระงมจากกลุ่มนั้น
เราเหม่อมองชายคนที่เจ็ดอย่างไม่รู้ตัวพร้อมๆกับมือที่เคลื่อนไหวไปได้เอง
..และเสียงซออู้ที่บรรเลงเพลงคำหวานก็ดังขึ้น..
จบ
ผลงานอื่นๆ ของ อาวินท์ ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ อาวินท์
ความคิดเห็น